วันพฤหัสบดีที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2553

8 ขั้นตอนสู่การให้อภัย

ในช่วงสภาวะอันแสนจะกดดัน จากที่เคยใจเย็น อะไรที่เข้าใจง่าย ก็เกิดหงุดหงิด ฉุนเฉียว ไม่รับรู้ อคติ ไม่เข้าใจ บางรายเกิดการยึดติด แค้นเคืองกันไป มีอาการ “กรี๊ดด…ฉันไม่ให้อภัยเธออีกแล้วนะ” แน่ใจหรือ? ว่าการไม่ให้อภัยกันนั้นทำให้มีความสุขจริงหรือ? บางคนตีอกชกหัว ฉันโดนทำร้าย โลกนี้ช่างโหดร้าย แต่คุณเชื่อหรือไม่ ทุกอย่างอยู่ที่ตัวเราเอง ลองอ่าน 8 ขั้นตอนสู่การให้อภัย ที่อาจทำให้ชีวิตเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นจากหน้ามือเป็นหลังมือ ไม่เชื่อลองทำดูค่ะ
null
ขอขอบคุณที่มาของบทความดีๆ : หนังสือ กฎแห่งกระจก
ขั้นตอนที่ 1
เขียนรายชื่อ “คนที่ให้อภัยไม่ได้” ลงในกระดาษ
เขียนรายชื่อคนที่คิดว่า “ถ้าให้อภัยได้คงสบายใจขึ้น” และคนที่ “อยากปรับความเข้าใจด้วย” ลงไป
โดยเฉพาะความสัมพันธ์กับพ่อแม่เป็นสิ่งสำคัญมากลองถามตัวเองดูว่า “เกลียดพ่อแม่หรือไม่” “สำนึกในบุญคุณพ่อแม่หรือเปล่า” ถ้าไม่แน่ใจก็ขอให้เขียนชื่อพ่อแม่ลงไปก่อน
สำหรับคนที่มีแฟนแล้ว ขอให้ทบทวนความสัมพันธ์กับคู่รัก ส่วนคนที่เลิกรา ก็ขอให้นึกดูว่าจะปรับความเข้าใจได้หรือไม่
วิธีนี้ยังใช้ได้กับผู้ที่เสียชีวิตไปแล้ว แม้คนที่ให้อภัยไม่ได้ จากไปแล้ว ก็ขอให้เขียนชื่อเขาลงไปด้วย
เมื่อได้รายชื่อแล้วเลือกคนๆหนึ่งที่คุณคิดว่าเหมาะที่จะลองใช้ “8 ขั้นตอนสู่การให้อภัย” ดู
ขั้นตอนที่ 2
ระบายความรู้สึกของตัวเอง
เตรียมกระดาษไว้หลายๆแผ่น แล้วเขียนระบายความรู้สึกที่มีต่อคนๆนั้น ทางที่ดีควรเขียนความรู้สึกในใจแทนที่จะเขียนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ถ้ารู้สึกโกรธจะเขียนคำว่า “ค้นบ้า” “ทุเรศ!” หรือคำอื่นก็ได้ และถ้ารู้สึกเป็นทุกข์หรือเศร้าเสียใจก็ขอให้เขียนลงไปด้วย เขียนระบายความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมา กระดาษเหล่านี้ไม่ได้มีไว้ให้คนๆนั้นดู เพราะฉะนั้นเขียนลงไปให้เต็มที่ ถ้าอยากร้องไห้ก็ร้องออกมา ไม่ต้องกลั้นไว้ การร้องไห้จะทำให้รู้สึกสบายใจขึ้น เมื่อเขียนอย่างหมดไส้หมดพุงแล้ว ขอให้ฉีกกระดาษเป็นชิ้นๆ แล้วทิ้งถังขยะไป
ขั้นตอนที่ 3
จินตนาการสาเหตุของการกระทำ
1.เขียนการกระทำของคนๆนั้นที่ทำให้คุณ “ให้อภัยไม่ได้” ลงบนกระดาษ
2.ลองจินตนาการสาเหตุที่ทำให้เขาต้องทำเช่นนั้น แรงจูงใจที่ทำให้คนทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง โดยแยกออกเป็นสองสาเหตุใหญ่คือ “อยากมีความสุข” หรือ “อยากเลี่ยงความทุกข์” ลองจินตนาการดูว่าเขาอยากได้รับความสุขแบบใด หรืออยากเลี่ยงความทุกข์แบบไหนถึงได้ทำเช่นนั้น
3.เมื่อเขียนเสร็จแล้ว อย่าได้ตัดสินการกระทำนั้นว่า “ไม่ถูกต้อง” แต่ขอให้เข้าใจสิ่งนั้นคือการกระทำที่เกิดจากความด้อยประสบการณ์ ความไม่รู้ หรือความอ่อนแอ
เราทุกคนมักทำผิดพลาดอยู่บ่อยๆ เช่นทำบางอย่างเพื่อให้มีความสุข แต่กลับกลายเป็นความทุกข์
การกระทำเพื่อหลีกเลี่ยงความทุกข์กลับกลายเป็นเพิ่มทุกข์เข้าไปอีก สิ่งนั้นมีสาเหตุจากความด้อยประสบการณ์ ความไม่รู้ และความอ่อนแอนั่นเอง เพราะฉะนั้นขอให้คิดเสียว่าการกระทำของคนที่เราให้อภัยไม่ได้ก็เกิดจากความด้อยประสบการณ์ ความไม่รู้ และความอ่อนแอ เช่นกัน
4.ขอให้พิจารณาการกระทำของคนๆนั้นโดยไม่สนใจว่าถูกหรือผิด แล้วพูดออกมาว่า “คุณคงอยากมีความสุข คุณคงอยากหนีให้พ้นจากความทุกข์เหมือนกันกับฉัน”
ขั้นตอนที่ 4
เขียนสิ่งที่ควรขอบคุณ
เขียนสิ่งที่ควรขอบคุณคนๆนั้นออกมาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม้จะเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ ก็ขอให้เขียนลงไป ลองนึกดูให้ดี แม้อาจจะใช้เวลาสักหน่อย เขียนให้มากเข้าไว้
ขั้นตอนที่ 5
ขอพลังจากการพูด
1.ปฏิญาณว่า “ฉันจะให้อภัยคุณเพื่อความเป็นอิสระ ความสบายใจ และความสุขใจของฉันเอง”
2.กล่าวขอบคุณซำๆว่า “คุณ(ชื่อ) ขอบคุณนะครับ/ค่ะ” ถ้าเป็นไปได้ให้พูดออกเสียง จะพูดเบาๆแค่ให้ตัวเองได้ยินก็ได้ ในขั้นตอนนี้ไม่จำเป็นต้องรู้สึกจากใจจริง แม้ในจิจใจจะยังรู้สึกไม่ให้อภัย แต่ก็ขอให้เริ่มพูด (การกระทำภายนอก) ก่อน
ใช้เวลาในขั้นตอนนี้ 10 นาทีเป็นอย่างน้อย ในเวลา 10 นาทีเราจะพูดได้ประมาณ 400-500 ครั้ง และหากเป็นไปได้ ขอให้พูดต่อเนื่องนาน 30 นาที เพราะขั้นตอนนี้สำคัญมาก
ขั้นตอนที่ 6
เขียนสิ่งที่อยากขอโทษ
เขียนสิ่งที่อยากขอโทษคนๆนั้นให้มากที่สุด
ขั้นตอนที่ 7
เขียนสิ่งที่ได้เรียนรู้
เขียนว่าได้เรียนรู้อะไรบ้างจากการรู้จักคนๆนั้น
คุณอาจได้เรียนรู้หรือรับรู้สิ่งใหม่ๆ จาการคิดเรื่องที่ว่า “ควรปฏิบัติตัวอย่างไรกับเขา”
ควรทำตัวอย่างไรจึงจะทำให้ทั้งคุณและเขามีความสุข
ขั้นตอนที่ 8
ประกาศ “ฉันให้อภัยแล้ว”
ประกาศว่า “ฉันให้อภัยคุณแล้ว”
null
และทั้งหมดนี้คือ “8 ขั้นตอนสู่การให้อภัย”
หากทำครบทั้ง 8 ขั้นตอนแล้ว แต่ยังรู้สึก “ให้อภัยไม่ได้” อยู่ก็ไม่เป็นไร
สิ่งที่ต้องทำต่อคือปฏิบัติตามข้อ2 ในขั้นตอนที่5 ให้เป็นกิจวัตร
นึกถึงใบหน้าของคนๆนั้น แล้วพูดซ้ำไปซ้ำมาว่า “คุณ(ชื่อ) ขอบคุณนะครับ/ค่ะ”
ทำเช่นนี้อย่างน้อยวันละ 5 นาที แล้ววันหนึ่งความเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นกับคุณอย่างแน่นอน

วันอังคารที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ปายในฝัน รีสอร์ท

ปายในฝัน รีสอร์ท

  • ระดับ:
  • จำนวนห้องพัก: 22
  • สถานที่: ปาย
  • ที่อยู่:ปายในฝัน อำเภอปาย แม่ฮ่องสอน

ปายในฝัน รีสอร์ท (Pai Nai Fum) เป็นรีสอร์ทสไตล์ธรรมชาติ บ้านพักแต่ละหลังสร้างจากวัสดุธรรมชาติคุณภาพดี เพื่อตอบสนองความต้องการของที่ด้องการพักผ่อนและสัมผัสธรรมชาติที่สวยงามของเมืองปาย
ปายในฝัน ตั้งอยู่บนทำเลที่ดีที่สุดของเมืองปาย ตัวรีสอร์ทตั้งอยู่บริเวณริมแม่น้ำปาย เงียบสงบและสดชื่นกับแม่น้ำปายที่ไหลผ่านด้านหน้ารีสอร์ทและเพียงข้ามสะพานไปฝั่งตรงข้ามก็จะเป็นถนนคนเดิน มีร้านค้า ร้านอาหาร พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ของใจกลางเมือง ที่มี่เป็นสถานที่พิเศษ ที่จะทำให้ท่านได้พบกับความสุขและความประทับใจ

ปาย

แล้วจะไปได้อย่างไรบ้าง
คลิกนี่เลย การเดินทางไปปาย มีรถโดยสารวิ่งประจำจาก เชียงใหม่ สีส้ม (ออกจะเก่าซะหน่อย) สนุกดีมีฝรั่งนั่งเป็นเพื่อนเยอะแยะ หรือ
รถตู้ ไปรับ-ส่ง ปาย-เชียงใหม่ วิ่งทุกวัน วันละหลายๆ เที่ยว มีหลายบริษัทฯ ที่ให้บริการอยู่ แนะนำ aYa Service 053-699888 ปาย หรือ 053-247889 (เชียงใหม่) รถออก 8-00 a.m. -5.00 p.m. ราคา 150 บาทต่อท่าน เครื่องบิน มีบิน เชียงใหม่-ปาย วันละ 2 รอบ

จุดชมวิว ทะเลหมอกหยุนไหล

เป็นจุดชมทะเลหมอก ยามเช้า ของเมืองปาย อยู่ห่างจากตัวเมืองปาย ประมาณ 6 กิโลเมตร ขับรถเลยหมู่บ้านสันติชน ตรงขึ้นไปจนสุดถนน คอนกรีต จะเป็นถนนดินลูกรัง อีกประมาณ 200 เมตร จะเห็นทางแยก บริเวณกอไผ่ ให้เลี้ยวซ้ายขึ้นไปเป็นทางชัน ระยะทางประมาณ 200 เมตรก็จะถึงทะเลหมอกหยุนไหล
จุดชมวิว ทะเลหมอกหยุนไหล
จุดชมวิว ทะเลหมอกหยุนไหล

ถนนคนเดิน ปาย

แหล่งช๊อปปิ้ง สินค้าพื้นเมือง ของเมืองปาย อยู่บนถนนสายเดียวกับ สถานีขนส่งปาย (ท่ารถปาย) มีสินค้าให้เลือกซื้อหามากมาย ทั้งของกิน ของฝาก ที่ถนนสายนี้ยังมี ร้านให้บริการเช่ารถ บริการนำเที่ยว ร้านให้บริการอินเตอร์เน็ต ร้านเช่าหนังสือ ร้านอาหาร ต่างๆ อีกด้วย หากเป็นช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว จะมีนักท่องเที่ยวมากมาย รวมทั้งมีกิจกรรม การแสดงต่างๆ ให้ได้ชม แต่ถ้าใครชอบ แบบผู้คนไม่พลุกพล่าน ก็จะได้บรรยากาศ ถนนคนเดิน อีกแบบหนึ่ง
ถนนคนเดิน ปาย
ถนนคนเดิน ปาย
ถนนคนเดิน ปาย
ถนนคนเดิน ปาย
ถนนคนเดิน ปาย
ถนนคนเดิน ปาย
ถนนคนเดิน ปาย
ถนนคนเดิน ปาย
ถนนคนเดิน ปาย
ถนนคนเดิน ปาย
ถนนคนเดิน ปาย
ถนนคนเดิน ปาย
ถนนคนเดิน ปาย
ถนนคนเดิน ปาย
ถนนคนเดิน ปาย

บันทึกเที่ยวปาย

ปาย เมืองที่แวดล้อมด้วยขุนเขา และธรรมชาติ ท้องทุ่งนา วิถีชีวิต ที่ผสมกลมกลืน ระหว่างความเป็นท้องถิ่น กับ ความทันสมัยของนักท่องเที่ยว ที่เดินทางมาแวะเวียน มาเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้ ถ้าจะพูดถึงสถานที่ท่องเที่ยว ที่นี่ มีทั้งน้ำตก น้ำพุร้อน ทะเลหมอก มีแม่น้ำ มีวัดเก่าแก่ มีสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ มีสิ่งมหัสจรรย์ทางธรรมชาติอย่าง ปายแคนยอน ซึ่งสถานที่ท่องเที่ยวแต่ละแห่ง ก็อยู่ไม่ไกลกันมากนัก พอจะขับรถเที่ยว ได้แบบสบายๆ
เที่ยวปาย ครั้งนี้ ถือเป็นครั้งที่สอง หลังจากเคยไปปายมาเมื่อ 3 ปีก่อน ปายวันนี้ หลายๆ อย่างยังเหมือนเดิม แต่สิ่งที่เปลี่ยนไป จะเห็นการพัฒนา เรื่องที่พัก ที่มีการก่อสร้าง เพิ่มขึ้นมากมาย กว่าเมื่อก่อน สถานที่ท่องเที่ยว หลายแห่งมีการปรับปรุง ก็เป็นสิ่งช่วยอำนวยความสะดวก ให้กับนักท่องเที่ยว อาจจะเป็นผลมาจาก ชื่อเสียงของปาย ที่มีคนรู้จักมากขึ้นเรื่อยๆ จำนวนนักท่องเที่ยว ก็นับวันมีแต่จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
การไปเที่ยวปาย ครั้งนี้ ผมกับแฟน เลือกวิธีการเดินทาง เหมือนเมื่อครั้งก่อน นั่นก็คือ อาศัยรถประจำทาง เพราะเห็นว่า ประหยัด สะดวก และ ไม่เหนื่อย ในการขับรถไปกันเอง เราออกเดินทางจากระยอง ด้วยบริการของ นครชัยแอร์ (ระยอง-เชียงใหม่) เป็นรถปรับอากาศ เที่ยว 18.30 น.ของวันพฤหัสที่ 30 กันยายน 2553 ซึ่งเดินทางมาถึง สถานีขนส่งอาเขต เชียงใหม่ เวลาประมาณ 06.45 ของเช้าวันศุกร์ที่ 1 ตุลาคม เข้าห้องน้ำล้างหน้าแปรงฟัน เดินมาที่ท่ารถไปปาย ซึ่งห่างจาก บ.นครชัยแอร์ แค่ไม่ถึง 100 เมตร ทันรถบัสปรับอากาศ เที่ยว 7.00 น. ซึ่งจะใช้เวลาเดินทาง ประมาณ 3 ชั่วโมง ก็จะถึงปาย เวลาประมาณ 10.00 น.
สิ่งแรก หลังจากลงจากรถบัส ของ บ.เปรมประชา ขนส่ง คือ ไปหาเช่ารถมอเตอร์ไซด์ ที่อยู่ไม่ไกล จากสถานีขนส่งปาย มากนัก ราคาค่าเช่ารถ จะเริ่มต้นที่ 100 บาทต่อวัน มีร้านเช่ามอเตอร์ไซด์ ให้เลือกอยู่หลายร้าน ราคานี้ไม่รวมน้ำมัน ต้องเติมเอง ซึ่งในตัวเมืองปาย จะมีปั๊มน้ำมันอยู่ 2 แห่ง ก็อยู่ไม่ไกล มากนัก จากประสบการณ์ เติมเต็มถังครั้งเดียว ก็สามารถเที่ยวชม สถานที่ท่องเที่ยว ทั่วเมืองปายแล้วครับ
- การเลือกร้านเช่ารถใกล้ๆ สถานีขนส่ง จะทำให้เวลาเรานำรถมาคืน ไม่ต้องเดินไกล
- ควรขอแผนที่ สถานที่ท่องเที่ยว ซึ่งมักจะมีแจกฟรี ให้เราดูเป็นไกด์นำทางด้วย
- ควรเลือกรถ โดยดูจากสภาพภายนอก เช่น ดอกยาง , สภาพความใหม่ , ระบบเบรค , ระบบไฟหน้า,ไฟเลี้ยว,ไฟท้าย, แตรรถ ให้ดีก่อนรับรถ

ท่องเที่ยวประเทศไทย

" ดอยสุเทพเป็นศรี ประเพณีเป็นสง่า บุปผาชาติล้วนงามตา นามล้ำค่านครพิงค์ "
ดอยหลวงเชียงดาว จ.เชียงใหม่ Photo by... wild-rose@tourthai.com

เชียงใหม่ นพบุรี ศรีนครพิงค์ หรือเวียงพิงค์ ของพ่อ ขุนเม็งรายมหาราชในอดีต หรือเชียงใหม่ในวันนี้เป็นเมืองที่ รวบรวมศิลปกรรม โบราณวัตถุ ตลอดจนวัฒนธรรมดั้งเดิม ของลานนาไทยเอาไว้ ส่วนสภาพทางภูมิศาสตร์นั้น พื้นที่ จังหวัดเชียงใหม่ส่วนใหญ่เป็นป่าละเมาะและภูเขา เนื้อที่ ประมาณ 20,107 ตารางกิโลเมตร มีที่ราบอยู่ตอนกลาง ตามสองฟากฝั่งแม่น้ำปิง
เชียงใหม่ มีประวัติความเป็นมาอันยาวนาน ในตำนานแรกๆ ที่กล่าวถึงเชียงใหม่ อย่างตำนานว่าด้วยพระธาตุในล้านนา กล่าวถึง ลัวะ ว่าเป็นชนพื้นเมืองมาก่อน ตำนานมูลศาสนา ชินกาลมาลีปกรณ์และจามเทวีวงศ์ กล่าวเปรียบเทียบลัวะ ว่าเป็นคนเกิด ในรอยเท้าสัตว์ ด้วยเหตุที่ ลัวะ ถือเอารูปสัตว์เป็นสัญลักษณ์ ตำนานรุ่นหลังอย่างตำนานสุวรรณคำแดง หรือ ตำนานเสาอินทขิล เล่าว่า ลัวะ เป็นผู้สร้าง เวียงเจ็ดลิน เวียงสวนดอก และเวียงนพบุรี หรือ เชียงใหม่ ลัวะ จึงน่าจะเป็นชนกลุ่มแรก ที่สร้างเมือง แต่ก่อนหน้านี้ ก็คงมีมนุษย์อาศัยอยู่ที่นี่ก่อนแล้ว แต่ยังไม่เป็นเมืองเต็มรูปแบบ
ในขณะเดียวกัน ที่ลำพูน ก็มีเมืองชื่อหริภุญไชย ตามตำนานการสร้างเมืองเล่าว่า พระนางจามเทวีวงศ์ ธิดากษัตริย์เมืองละโว้ เสด็จขึ้นมาครองหริภุญไชยใน พ.ศ.1310-1311 ครั้งนั้น พระนางได้พาบริวาร ข้าราชบริพาร ที่เชี่ยวชาญ ในศิลปวิทยาการต่างๆ ขึ้นมาด้วย หริภุญไชยจึงได้รับเอาพุทธศาสนาและศิลปวัฒนธรรม ละโว้ มาใช้ในการพัฒนาจนเจริญขึ้นเป็นแคว้นใหญ่ จวบจนประมาณปี พ.ศ.1839 พญามังราย ผู้สืบเชื้อสายมาจากปู่เจ้าลาวจก หรือ ลวจักราช เป็นกษัตริย์แห่งราชวงศ์ลาว ครองเมืองเงินยาง ซึ่งได้แผ่อำนาจครอบคลุมลุ่มแม่น้ำกก และได้สร้างเวียงเชียงราย ขึ้นเป็นกองบัญชาการ ซ่องสุมไพร่พล เพื่อยึดครองหริภุญไชย เนื่องจากหริภุญไชย เป็นเมืองศูนย์กลางความเจริญ และเป็นชุมทางการค้า

ประวัติและความเป็นมา :

งานร่วมรำลึก ตำนาน-วันวาน ตลาดโบราณบางพลี

วันที่ : 2 ต.ค. 2553 - 31 ต.ค. 2553
สถานที่ : ณ ตลาดโบราณบางพลี บริเวณหน้าวัดบางพลีใหญ่ใน (วัดหลวงพ่อโต) อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ
ติดต่อสอบถาม : ติดต่อ เทศบาลตำบลบางพลี 0 2337 3086 ต่อ 15 www.bangplee.org
รายละเอียด
เปิดงานวันเสาร์ที่ 2 ตุลาคม 2553 เวลา 9.00 น. งานมีทุกเสาร์และอาทิตย์

ตลาดโบราณบางพลี ตั้งอยู่บนฝั่งเหนือของคลองสำโรง หมู่ที่ 10 ตำบลบางพลีใหญ่ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ ตลาดโบราณบางพลีเดิมชื่อ “ตลาดศิริโสภณ” ก่อตั้งมาเป็นเวลากว่า 150 ปี เป็นตลาดเก่าแก่ที่ยังคงบรรยากาศของวิถีชีวิตริมคลองที่เรียบง่าย เป็นเรือนแถวไม้สองชั้น หลังคาทรงปั้นหยา หลายคูหาเรียงติดต่อกัน พื้นตลาดเป็นพื้นไม้ สามารถเดินติดต่อกันได้ยาวประมาณ 500 เมตร มีร้านค้าเรียงรายตลอดทาง โดยมีสินค้าทั้งเก่าและใหม่ให้เลือกสรรอย่างหลากหลาย และด้วยความน่าสนใจและเสน่ห์ของตลาดเก่าแก่แห่งนี้ ทำให้มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาชมเป็นระยะๆ ทั้งยังเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ ละครโทรทัศน์ และโฆษณาทีวีต่างๆ มากมาย
ตลาดโบราณบางพลี ถือเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์แห่งหนึ่ง ซึ่งมีวิถีชีวิตที่เรียบง่าย และมีวัฒนธรรมมากมาย สมควรอนุรักษ์ฟื้นฟูให้เยาวชนรุ่นหลังได้ศึกษา
กิจกรรม
แลวิถีริมคลองสำโรง
- แต่งกายย้อนยุค
- การละเล่นพื้นบ้าน
- นิทรรศการเล่าเรื่องวิถีชีวิตชุมชน
- ล่องเรือไหว้พระชมวิว

งานประชัน
- แข่งเรือมาด
- มวยทะเล
- กีฬาพื้นบ้าน
- ปรุงอาหารสูตรโบราณ

จับจ่าย
- โอทอปชุมชน
- ข้าวของเครื่องใช้
- อาหารเลิศรส
เสนาะโสต
- หวนรำลึก บทเพลงเก่าในอดีตได้ทุกสัปดาห์

การเดินทาง
ถนนบางนา-ตราด รถเมล์สาย 172, 133, 365, 537, 552, 553 ต่อรถสองแถว (ราชวินิต-บิ๊กซีบางพลี) ที่ปากทางเข้าราม2 หรือหน้าห้างโฮมโปร สาขาบางพลี

ถนนเทพารักษ์ รถเมล์สาย สำโรง-บางบ่อ-บางปลา และรถตู้สายสำโรง-บางบ่อ ลงที่ห้างบิ๊กซี สาขาบางพลี จากนั้นข้ามเรือด้านหลังห้างสู่

ท่องเที่ยวประเทศไทย

เปิดฤดูกาลท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติภูกระดึง

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเลย ขอแจ้งข่าวประชาสัมพันธ์ “เปิดฤดูกาลท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติภูกระดึง”
วันที่ 1 ตุลาคม 2553 - 31 พฤษภาคม 2554
ค่าธรรมเนียมการเข้าชมอุทยานแห่งชาติภูกระดึง
สำหรับคนไทย ผู้ใหญ่ 40 บาท และเด็ก 20 บาท ชาวต่างชาติผู้ใหญ่ 400 บาท และเด็ก 200 บาท ค่ายานพาหนะ 30 บาท ต่อคัน และค่าจ้างลูกหาบ ราคากิโลกรัมละ 15 บาท
นักท่องเที่ยวที่จะเดินทางไปท่องเที่ยว และพักค้างคืนบนยอดภูกระดึง ในปีการท่องเที่ยว 2554 (1 ตุลาคม 2553-31 พฤษภาคม 2554) ควรวางแผนการเดินทาง และสำรองการใช้บริการล่วงหน้า เพราะมีการกำหนดจำนวนนักท่องเที่ยว วันละ 5,000 คน เท่านั้น ทั้งนี้สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือสำรองบ้านพัก เต็นท์ และพื้นที่กางเต็นท์ได้ที่ อุทยานแห่งชาติภูกระดึง โทร. 0-4287-1333 / 0-4287-1458/ website : http://www.dnp.go.th/

วิธีการสร้างจุดยืนที่จะเป็นคนดี.........ที่แท้จริง

คนดี เป็นทรัพยากรบุคคลที่มีค่าของสังคม ดังนั้นทุกคนจึงอยากจะเป็นคนดี มีเยาวชนของชาติเป็นจำนวนมากอยากจะทำความดี แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นทำความดีอย่างไร จะรอให้คนทำของตกแล้วเก็บไปคืนเจ้าของรึก็นานๆ จะมีสักรายหนึ่ง

ใครๆ ก็อยากจะเป็นคนดีด้วยกันทั้งนั้นเพราะเมื่อเป็นคนดีแล้ว ก็จะได้ผลตอบแทน เช่น

1. อยากจะอยู่ที่ไหน ก็อยู่ได้สบาย เพราะมีคนอยากให้อยู่

2. อยากจะไปไหน ก็ไปได้สะดวก เพราะมีคนอยากให้ไป

3. อยากจะทำอะไร ก็ทำสำเร็จ เพราะมีคนอยากช่วยเหลือ

แต่ก็มีเพียงบางคนเท่านั้นที่เป็นคนดีได้ เยาวชนส่วนใหญ่ถึงแม้อยากจะเป็นคนดี สักเท่าใดก็เป็นไปได้ เพราะเหตุว่า มีการเริ่มต้นที่ไม่ถูกและไม่ทราบว่าจุดเริ่มต้นของการเป็นคนดีควรเริ่มต้นที่ตรงไหน

การจะเป็นคนดีได้สำเร็จ จะต้องเริ่มต้นที่การเป็น "ลูกดี" ถ้าเป็นลูกที่ดีได้ก็เป็นคนดีสำเร็จ ถ้าเป็นลูกดีไม่ได้ ก็เป็นคนดีไม่สำเร็จ

ฉะนั้น คนจะดีจึงต้องเริ่มต้นที่การเป็นคนดี คุณสมบัติของลูกดี มี 2 ประการ คือ

1. เห็นคุณค่าและความสำเร็จของพ่อแม่

2. ปฏิบัติตอบต่อพ่อแม่ด้วยความกตัญญูกกเวที

ลูกทุกคนโปรดทราบเถิดว่า ไม่มีใครในโลกนี้ จะมีคุณค่าต่อเราเท่าพ่อและแม่ เพราะท่านให้สิ่งที่คนทั้งหลายให้แก่เราไม่ได้ คือ

1. ให้ความมีชีวิตแก่เรา

2. ให้ความเมตตากรุณาอย่างสุดซึ้ง ไม่มีวันสิ้นสุด ในยามที่เราผิดหวังหรือมีทุกข์

3. ให้ความยินดีจากใจจริง เมื่อคราวที่เราได้ดีมีสุข

4. ให้ความรักจริง จริงใจแก่ลูก ๆ ทุกคน

จริงอยู่คนรักเรามีมากมาย แต่ความรักของคนทั้งหลายเหล่านั้น รักเพราะเขาต้องการสิ่งตอบแทนจากเรา ถ้าเขาต้องการจากเรามาก เขาก็รักเรามาก ถ้าเขาต้องการจากเราน้อย ก็รักเราน้อย ถ้าเขาหมดความต้องการ เขาก็หมดรักเรา ความรักจากคนอื่นจึงมีได้หมดได้มากหรือน้อยตามกำลังแห่งความต้องการของเขา

แต่ความรักของพ่อแม่เป็นรักแท้ ไม่ได้รักเพราะต้องการสิ่งใดจากเรา ท่านรักเราเพื่อความสำเร็จของเรา อันเป็นความปรารถนาสูงสุดของท่าน

ในเวลาที่เราตกระกำลำบาก อาจจะมีหลายคนมาแสดงความเสียใจกับเราหรือมาปลอบเรา บางคนก็ทำโดยมารยาท หรือธรรมเนียมประเพณีเท่านั้น ใจของเขาอาจจะสมน้ำหน้าเราก็ได้

แต่คนที่จริงใจ ไม่ทอดทิ้ง ติดตามเราไปได้ทุกแห่งหน จะลำบากยากแค้นประการใด ก็ทนได้ จะหมดเปลืองเท่าใดก็ยอมได้ มีเฉพาะพ่อกับแม่ของเราเท่านั้นที่ไม่มีวันทอดทิ้งเรา

ในเวลาที่เราได้ดี ประสบความสำเร็จมีความสุขความเจริญ อาจมีคนมากมายมาดีใจกับเรา

บางคนก็ดีใจเพราะคิดว่า เขาอาจจะได้ส่วนแบ่งจากความสำเร็จของเราบ้าง หรือบางคนมาแสดงความยินดี แต่อาจจะมีความริษยาปนอยู่บ้างก็ได้

แต่คนที่ดีใจจริง ๆ ดีใจจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไดก็คือ พ่อกับแม่ของเรานั่นเอง

พ่อกับแม่ดีใจ เพราะความมุ่งหมายของท่านต้องการเห็นเราเป็นเช่นนี้มานานแล้ว

นี่คือข้อเท็จจริงที่ลูกทุกคนได้รับจากพ่อแม่ เพราะฉะนั้น พ่อแม่จึงเป็นคนประเสริฐของลูกทั้งหลาย

การคิดถึงคุณค่าและความสำคัญของ พ่อแม่ดังกล่าวมานี้ ย่อมเป็น "เชื้อแห่งความดี" ของชีวิต และเป็นจุดเริ่มต้นของการเป็น "คนดี"

ดังนั้น สิ่งที่ลูกดี ควรประพฤติปฏิบัติตอบแทนคุณของท่านก็คือ

1. ท่านเลี้ยงเรามาแล้ว เลี้ยงท่านตอบ
ให้ความสุขกายสบายใจแก่ท่าน แม้เป็นลุกยังเล็กอยู่ในวัยเป็นนักเรียน นักศึกษาอยู่ก็สามารถเลี้ยงดูน้ำใจของท่านได้ อย่าให้ท่านทุกข์ใจ เสียใจ กลุ้มใจ เพราะการกระทำของเรา

2. ช่วยเหลือในกิจการงานของท่าน
โดยการปฏิบัติการทำงานตามที่ท่านใช้ให้ทำ การแบ่งเบาภารกิจของท่าน ด้วยการรับงานซึ่งเป็นภาระอันหนักของท่านไปทำ เป็นต้น

3. ดำรงวงศ์สกุล
สกุลนั้นมีบุคคลเกี่ยวข้องอยู่เป็นอันมาก บุตรธิดาแห่งสกุลใด เมื่อเกิดมาร่วมวงศ์สกุลกับบุคคลอื่นจะต้องมีความสำนึกรับผิดชอบต่อสกุลวงศ์ แม้ตระกูลจะเสื่อมทรามตกต่ำลงไป ก็ต้องไม่ใช่เกิดจากการกระทำของตน ฉะนั้น บุตรธิดาที่พึงปรารถนาก็คือ บุตรธิดาที่ดำรงวงศ์สกุล กับบุตรธิดาที่เชิดชูวงศ์สกุลทำสกุลให้สูงขึ้น ดำรงวงศ์สกุลก็คือ การรักษาสิ่งที่ดีงามต่าง ๆ ของสกุลเอาไว้ไม่ให้เสื่อมในยุคในสมัยของตน

4. ประพฤติตนให้เป็นคนเหมาะควรแก่การไว้เนื้อเชื่อใจของพ่อแม่ ที่จะรับทรัพย์มรดกสืบต่อวงศ์สกุลไปได้
ให้พ่อแม่มีความมั่งใจว่า แม้ท่านจะตายไปแล้ว ฐานะของสกุลก็คงไม่ตกต่ำ ลูกสามารถรักษาไว้ได้

5. เมื่อบิดามารดาตายจากไป ก็ทำบุญอุทิศส่วนกุศลส่งไปให้
เป็นการแสดงออกซึ่งความกตัญญูกตเวทีต่อท่านผู้เป็นบิดามารดา ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงแสดงว่าเป็นการบูชาต่อความดีของมารดาบิดา เป็นการสะสมบุญให้เพิ่มพูนขึ้นมาอีกเป็นอันมาก ฉะนั้นหน้าที่เหล่านี้จึงเป็นหน้าที่โดยกำเนิดของทุกชีวิตที่เกิดมาในโลกนี้ ถ้าละเลยหรือไม่ประพฤติปฏิบัติก็ได้ชื่อว่าเป็นคนอกตัญญูต่อหน้าที่ พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ว่า

คนดีทำความดีได้ง่าย แต่ทำความชั่วได้ยาก
คนชั่วทำความชั่วได้ง่าย แต่กลับทำความดีได้ยาก

คน กับ มนุษย์ นั้นต่างกัน
มนุษย์ คือ สัตว์โลกที่มีจิตใจสูง มีเหตุผล มีศีลธรรม
ส่วนคน คือ สัตว์โลกที่มีจิตใจต่ำ ไม่มีศีลธรรม ไม่มีเหตุผล

คำว่า มนุษยธรรม จึงแปลว่า ธรรมะที่ทำคนให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งทางร่างกายและจิตใจ เมื่อพัฒนาจิตใจจากคนขึ้นมาเป็นมนุษย์ได้ก็คือการเป็นคนดีนั่นเอง

เป็นคนดีมาแล้วพอไหม มีศีลธรรม มาแล้ว พอไหม ถ้ายังไม่พอ ก็โปรดรีบขวนขวาย เพื่อเราจะได้มีชีวิตมีจิตที่ สงบเย็นอยู่เป็นนิจ เพราะปราศจาก ความยึดมั่น ถือมั่น ในความรู้สึก เป็นตัวตน.

ในระดับสังคม

1. สังคมที่ปลูกฝังศีลธรรม (คนดีในระดับศีลธรรม)
-ปฏิบัติค่อนข้างยาก ซึ่งผุ้ปฏิบัติควรปฏิบัติให้จิตเข้าถึงแก่นของธรรมชาติ ยึดถือโครงสร้างของจิตใจ หรือการปรับระดับจิตใจของตนให้คงที่อยู่ตลอดเวลา ทำการงานสิ่งใดทำเต็มที่ แต่ก็ไม่ไปยึดถือ ในระดับสมมตินั้นนั้น

2. สังคมที่สมมติ (คนดีในระดับสังคมสมมติ)
-ยึดถือวัตถุนิยม หรือวัตถุทางกาย โดยขาดการดูแลทางด้านจิตใจ ความเจ็บป่วยทางใจจะเกิดขึ้นตลอดเวลา ซึ่งก็ต้องหาทางดูแลกันไปตามสภาพที่เกิดขึ้น


การแลกเปลี่ยนกันระหว่างวัตถุทางกาย กับเสรีภาพทางจิตใจ

ทุกสรรพสิ่งทั้งปวงประกอบกันเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ซึ่งรวมแม้แต่สิ่งมีชีวิต และไม่มีชีวิต ทุกชีวิตเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ แต่เมื่อใดที่จิตใจเราเริ่มเบียดเบียนธรรมชาติมาเป็นของเรา ซึ่งก็จะทำให้ใจเราสูญเสียเสรีภาพทางจิตใจ

นั่นก็คือสิ่งที่แลกเปลี่ยนกันที่ธรรมชาติให้กับสิ่งมีชีวิตนั้น แต่สิ่งที่ได้ไปนั้นก็เป็นเพียงแค่มายา แต่ได้ทำให้จิตใจของเราสูญเสียเสรีภาพทางจิตใจไปตลอด ช่วงเวลานั้น

เรือน 3 น้ำ 4

สุขภาพดี ดีกว่าสวยแล้วสุขภาพไม่ดี มีแต่โรคภัยไข้เจ็บ ถ้าจะสวยต้องมี เรือน 3 น้ำ 4
เรือน 3 ได้แก่
1. เรือนผม สวยงาม สะอาด
2. เรือนร่าง เรือนกาย ดูแลรูปร่างไม่ให้เป็นพะโล้ ผิวพรรณไม่เศร้าหมอง
3. เรือนชาน จัดบ้านทำความสะอาดจัดระเบียบบ้านให้ดี

น้ำ 4 ได้แก่
1. น้ำใจ มีจิตใจที่อยากจะเห็นคนอื่นพ้นทุกข์ อยากให้มีแต่ความสุขเอื้ออาทร คิดเรื่องดีๆ
2. น้ำคำ พูดจาอ่อนหวาน จริงใจ ไม่เพ้อเจ้อ ไม่พูดล่อลวง
3. น้ำมือ ทำอาหารให้อร่อย รวมถึงขยันทำงาน ไม่คิดแต่จะสวยแล้วไม่ทำงาน
4. น้ำอดน้ำทน ทั้งผู้ชายและผู้หญิง ต้องอดทนต่อความเหน็ดเหนื่อยต่อหน้าที่การงาน เมื่อกลับมาบ้านก็ไม่เอาความเครียดจากงานมาทะเลาะกัน ต้องเข้าใจซึ่งกันและกัน

โลหะบำบัด “การใส่แหวน”

นิ้วโป้ง
1. ใส่แหวนเงิน ช่วยให้ปอดแข็งแรง หายใจเต็มอิ่ม ดูดสารพิษที่ปอด
2. ใส่แหวนทอง ช่วยลำไส้ใหญ่ให้ขับถ่ายสะดวก

นิ้วชี้
1. ใส่แหวนเงิน ช่วยลดความอ้วน แก้เกาต์ เบาหวาน น้ำเหลืองเสีย ขจัดพิษที่ม้าม
2. ใส่แหวนทอง ช่วยให้กระเพาะอาหารแข็งแรง กันปวดเข่า

นิ้วกลาง
1. ใส่แหวนเงิน ช่วยกรองเลือดผ่านหัวใจให้สะอาด กันหัวใจวาย
2. ใส่แหวนทอง ปรับความร้อนในร่างกาย แก้ปัสสาวะบ่อย

นิ้วนาง
1. ใส่แหวนเงิน ช่วยล้างไขมัน ล้างสารพิษในตับ
2. ใส่แหวนทอง แก้ไมเกรน แก้นอนไม่หลับ

นิ้วก้อย
1. ใส่แหวนเงิน ช่วยชำระไต ขจัดสารพิษที่ไต จะใส่มือซ้ายหรือขวาก็ได้ ใส่ทั้งสองข้างก็ได้
2. ใส่แหวนทอง ช่วยดูแลเรื่อง กระเพาะปัสสาวะ มดลูก รังไข่ ปีกมดลูก อัณฑะ ไส้เลื่อน

การใส่แหวนเป็นการใช้โลหะบำบัด ช่วยได้เล็กน้อยแต่ก็ยังดีกว่าไม่ทดลองทำดู ควรดูแลเรื่องอาหารการกินเป็นเรื่องหลักจะดีที่สุด โดยเฉพาะอาหารมื้อเช้า และออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ

ประโยชน์-โทษของอินเตอร์เน็ต

ประโยชน์ของอินเตอร์เน็ต
ปัจจุบันอินเตอร์เน็ตได้เข้ามามีส่วนร่วมในการสื่อสารและแลกเปลี่ยนข้อมูลก่อให้เกิดประโยชน์มากมายได้แก่

- ด้านการติดต่อสื่อสาร เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูล การส่งไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ หรือการพูดคุยด้วยการส่งสัญญาณภาพและเสียง
- เป็นระบบสื่อสารพื้นที่จำลอง (Cyberspace) ไม่มีข้อจำกัดทางศาสนา เชื้อชาติ ระบบการปกครอง กฎหมาย
- มีระบบการเรียนการสอนผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต
- สามารถค้นหาข้อมูลในด้านต่างๆ ได้ผ่านบริการ World Wide Web
- การบริการทางธุรกิจ เช่น สั่งซื้อสินค้า หรือการโฆษณาสินค้าต่างๆ
- การบริการด้านการบันเทิงต่างๆ เช่น การดูภาพยนตร์ใหม่ๆ การฟังเพลง ในระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต การเกมออนไลน์ เป็นต้น

โทษของอินเตอร์เน็ต
โทษของอินเตอร์เน็ต มีหลากหลายลักษณะ ทั้งที่เป็นแหล่งข้อมูลที่เสียหาย, ข้อมูลไม่ดี ไม่ถูกต้อง, แหล่งซื้อขายประกาศ
ของผิดกฏหมาย,ขายบริการทางเพศ ที่รวมและกระจายของไวรัสคอมพิวเตอร์ต่างๆ
- อินเตอร์เน็ตเป็นระบบอิสระ ไม่มีเจ้าของ ทำให้การควบคุมกระทำได้ยาก
- มีข้อมูลที่มีผลเสียเผยแพร่อยู่ปริมาณมาก
- ไม่มีระบบจัดการข้อมูลที่ดี ทำให้การค้นหากระทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร
- เติบโตเร็วเกินไป
- ข้อมูลบางอย่างอาจไม่จริง ต้องดูให้ดีเสียก่อน อาจถูกหลอกลวง-กลั่นแกล้งจากเพื่อนใหม่
- ถ้าเล่นอินเตอร์เน็ตมากเกินไปอาจเสียการเรียนได้
- ข้อมูลบางอย่างก็ไม่เหมาะกับเด็กๆ
- ขณะที่ใช้อินเตอร์เน็ต โทรศัพท์จะใช้งานไม่ได้

ถึงเดือนเหล่านี้ให้ระวังดูแลเป็นพิเศษ

มกราคม ระวัง ดูแลปอด
กุมภาพันธ์ ระวัง ดูแลลำไส้ใหญ่
มีนาคม ระวัง กระเพาะอาหาร
เมษายน ระวัง ม้าม-ความอ้วน
พฤษภาคม ระวัง หัวใจ
มิถุนายน ระวัง ลำไส้เล็ก ไขมันเกาะลำไส้
กรกฏาคม ระวัง กระเพาะปัสสาวะ ปัญหามดลูกรังไข่ต่อมลูกหมาก ต่อยไทรอยด์
สิงหาคม ระวัง เกี่ยวกับ ตับ-ไต
กันยายน ระวัง เรื่องโคเลสเตอรอล หลอดเลือด
ตุลาคม ระวัง ระบบความร้อนในร่างกาย
พฤษจิกายน ระวัง ไมเกรน-ถุงน้ำดี
ธันวาคม ระวัง เรื่องของตับ
อากาศชื้น มีผลกับธาตุดิน เกี่ยวข้องกับเรื่องของม้าม กระเพาะอาหาร
อากาศเย็น มีผลกับธาตุน้ำ เกี่ยวข้องกับไต กระเพาะปัสสาวะ
อากาศแห้ง มีผลกับธาตุลม เกี่ยวข้องกับปอด ลำไส้ใหญ่
อากาศร้อน มีผลกับธาตุไฟ เกี่ยวข้องกับหัวใจ ลำไส้เล็กระบบหลอดเลือด ระบบความร้อนในร่างกาย
ลมแรง มีผลกับธาตุไม้ เกี่ยวข้องกับตับ ถุงน้ำดี

เก็บแบตเตอรี่อย่างไรให้ปลอดภัยที่สุด

แบตเตอรี่โน้ตบุ๊กก็เหมือนกับแบตเตอรี่ทั่วไป ไม่ว่าจะขนาดเล็กหรือใหญ่ หากคุณเก็ฐไม่ดีพอก็อาจทำให้มันพังได้ เช่น อย่าเก็บแบตเตอรี่ไว้รวมกับของอื่นๆ ที่นำไฟฟ้า เช่น คลิปหนีบกระดาษ กุญแจ ฯลฯ เพราะหากขั้วแบตเตอรี่ไปสัมผัสกับวัสดุพวกนี้เข้า ในลักษณะที่ทำให้ลัดวงจรละก็ แบตเตอรี่ของคุณจะไหม้ทันที หากมีกระดาษอยู่ในนั้นมันจะลุกติดไฟด้วย ดังนั้น ควรหาถุงเก็บหรือซองสำหรับใส่แบตเตอรี่เฉพาะจะดีที่สุดครับ

โรคติดอินเทอเน็ต(Webaholic)

โรคติดอินเทอเน็ต(Webaholic)
อินเตอร์เน็ตก็เป็นสิ่งเสพติดหรือ?หากการเล่นอินเตอร์เน็ต ทำให้คุณเสียงาน หรือแม้แต่ทำลาย นักจิตวิทยาชื่อ Kimberly S. Young ได้ศึกษาพฤติกรรม ของผู้ใช้อินเตอร์เน็ตอย่างมากเป็นจำนวน 496 คน โดยเปรียบเทียบ กับบรรทัดฐาน ซึ่งใช้ในการจัดว่า ผู้ใดเป็นผู้ที่ติดการพนัน การติดการพนันประเภทที่ถอนตัวไม่ขึ้น มีลักษณะคล้ายคลึงกับ การติดอินเตอร์เน็ต เพราะทั้งสองอย่าง เกี่ยวข้องกับการล้มเหลว ในการควบคุมความต้องการของตนเอง โดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสารเคมีใดๆ (อย่างสุรา หรือยาเสพติด) คำว่า อินเตอร์เน็ต ในการศึกษาวิจัยเรื่องนี้ หมายรวมถึง ตัวอินเตอร์เน็ตเอง ระบบออนไลน์ (อย่างเช่น AmericaOn-line, Compuserve, Prodigy) หรือระบบ BBS (Bulletin Board Systems)
และการศึกษาวิจัยครั้งนี้ ได้ระบุว่า ผู้ที่มีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ อย่างน้อย 4 อย่าง เป็นเวลานานอย่างน้อย 1 ปีถือได้ว่า
มีอาการติดอินเตอร์เน็ต
• รู้สึกหมกมุ่นกับอินเตอร์เน็ต แม้ในเวลาที่ไม่ได้ต่อกับอินเตอร์เน็ต
• มีความต้องการใช้อินเตอร์เน็ตเป็นเวลานานขึ้น
• ไม่สามารถควบคุมการใช้อินเตอร์เน็ตได้
• รู้สึกหงุดหงิดเมื่อต้องใช้อินเตอร์เน็ตน้อยลงหรือหยุดใช้
• ใช้อินเตอร์เน็ตเป็นวิธีในการหลีกเลี่ยงปัญหาหรือคิดว่าการใชอินเตอร์เน็ตทำให้ตนเองรู้สึกดีขึ้น
• หลอกคนในครอบครัวหรือเพื่อน เรื่องการใช้อินเตอร์เน็ตของตัวเอง
• การใช้อินเตอร์เน็ตทำให้เกิดการเสี่ยงต่อการสูญเสียงาน การเรียน และความสัมพันธ์ ยังใช้อินเตอร์เน็ตถึงแม้ว่าต้องเสียค่าใช้จ่ายมาก
• มีอาการผิดปกติ อย่างเช่น หดหู่ กระวนกระวายเมื่อเลิกใช้อินเตอร์เน็ต
• ใช้เวลาในการใช้อินเตอร์เน็ตนานกว่าที่ตัวเองได้ตั้งใจไว้สำหรับผู้ใช้อินเตอร์เน็ต
ที่ไม่เข้าข่ายข้างต้นเกิน 3 ข้อในช่วงเวลา 1 ปี ถือว่ายังเป็นปกติ จากการศึกษาวิจัย ผู้ที่ใช้อินเตอร์เน็ตอย่างหนัก 496 คน มี 396 คนซึ่งประกอบไปด้วย เพศชาย 157 คน และเพศหญิง 239 คน เป็นผู้ที่เรียกได้ว่า “ติดอินเตอร์เน็ต” ในขณะที่อีก 100 คนยังนับเป็นปกติ ประกอบด้วยเพศชาย และเพศหญิง 46 และ 54 คนตามลำดับ สำหรับผู้ที่จัดว่า “ติดอินเตอร์เน็ต” นั้นได้แสดงลักษณะอาการของการติด (คล้ายกับการติดการพนัน) และการใช้อินเตอร์เน็ต อย่างหนักเหมือนกับ การเล่นการพนัน ความผิดปกติในการกินอาหาร หรือสุราเรื้อรัง มีผล กระทบต่อการเรียน อาชีพ สภาพทางสังคมและเศรษฐกิจของคนคนนั้น ถึงแม้ว่าการวิจัยที่ผ่านมาได้แสดงให้เห็นว่า การติดเทคโนโลยีอย่างเช่น การติดเล่นเกมส์ ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นกับเพศชายแต่ผลลัพธ์ข้างต้น แสดงให้เห็นว่า ผู้ที่ติดอินเตอร์เน็ต ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง วัยกลางคนและไม่มีงานทำ

เรื่องผิดศีลธรรม(Pornography/Indecent Content)

เรื่องผิดศีลธรรม(Pornography/Indecent Content)

เรื่องของข้อมูลต่างๆที่มีเนื้อหาไปในทางขัดต่อศีลธรรม ลามกอนาจาร หรือรวมถึงภาพโป๊เปลือยต่างๆนั้นเป็น เรื่องที่มีมานานพอสมควรแล้วบนโลกอินเตอร์เน็ต แต่ไม่โจ่งแจ้งเนื่องจากสมัยก่อนเป็นยุคที่ WWW ยังไม่พัฒนา มากนักทำให้ไม่มีภาพออกมา แต่ในปัจจุบันภายเหล่านี้เป็นที่โจ่งแจ้งบนอินเตอร์เน็ตและสิ่งเหล่านี้สามารถเข้าสู่เด็ก และเยาวชนได้ง่ายโดยผู้ปกครองไม่สามารถที่จะให้ความดูแลได้เต็มที่ เพราะว่าอินเตอร์เน็ตนั้นเป็นโลกที่ไร้พรมแดนและเปิดกว้างทำให้สื่อเหล่านี้สามรถเผยแพร่ไปได้รวดเร็วจนเรา ไม่สามารถจับกุมหรือเอาผิดผู้ที่ทำสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาได้

วิธีป้องกันภัยที่มากับอินเตอร์เน็ต

วิธีป้องกันภัยที่มากับอินเตอร์เน็ต
ระมัดระวังในการติดต่อทำความรู้จักบุคคลทางอินเตอร์เน็ต ไม่ควรทำผิดกฎหมายซึ่งมีหลายฉบับมีโทษปรับ หรือจำคุก การนำความรู้ที่ได้มาใช้ควรมีการกลั่นกรองให้ถูกต้อง ไม่ควรเชื่ออะไรง่าย ๆ ระมัดระวังการทำธุรกิจทางการเงิน การลงทุน การชื้อขายทางอินเตอร์เน็ต จ่ายเงินโดยบัตรเครดิต ศึกษาหาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต ต้องคิดพิจารณาไตร่ตรอง คิดพิจารณาอย่างมีเหตุผล ไตร่ตรองให้รอบคอบ ข้อมูลบนอินเตอร์มีทั้งที่เป็นข้อมูลจริง ข้อมูลเท็จ ดังนั้นผู้ใช้พึงระมัดระวัง

10 วิธีป้องกันภัยจากอินเตอร์เนตสำหรับเด็กและเยาวชน

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เสนอ 6 แนวทางสำหรับผู้ใหญ่ และ 4 แนวทางสำหรับเด็กในการป้องกันอันตรายจากอินเตอร์เนตที่มีกับเด็ก ลดช่องว่างด้านเทคโนโลยี และสกัดกั้นความเสียหายต่ออนาคตของชาติ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประมาณการว่า ในประเทศไทยมีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตรวมประมาณ 4.5 ล้านคน โดยผู้ใช้ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเยาวชน และแม้ว่าอินเทอร์เน็ตจะมีประโยชน์ในด้านต่าง ๆ มากมาย แต่ก็มีอันตรายไม่น้อยสำหรับเด็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลายเป็นแหล่งการเกิดปัญหาการล่อลวงเด็กและก่อให้เกิดความเสียหายกับตัวเด็ก ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข ปัญหาของการใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อล่อลวงเด็ก ไม่ว่าจะเป็นการล่อลวงไปข่มขืน ทำอนาจาร หรือแม้แต่การลักพาตัวไป โดยเฉพาะการพูดคุยในห้องแชตรูมผ่านอินเทอร์เน็ต ที่นำไปสู่การนัดพบกันของคู่สนทนาทั้งสองฝ่ายซึ่งไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อน รวมทั้งเนื้อหาที่นำเสนอในหน้าเว็บไซต์ที่เชื่อมโยงกันทั่วโลกมีจำนวนไม่น้อยที่นำเสนอเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมกับเด็ก เช่น เนื้อหาทางเพศ เนื้อหาเกี่ยวกับความรุนแรง หรือการเสนอขายสินค้าที่ไม่เหมาะสมหรือส่งเสริมการใช้ความรุนแรง ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า แนวทางในการป้องกันและแก้ปัญหา ควรได้รับความร่วมมือด้วยกันทุกฝ่าย โดยเฉพาะผู้ปกครองควรสอดส่องดูแลการใช้อินเทอร์เน็ตของเยาวชนอย่างใกล้ชิด และให้คำแนะนำในการใช้อินเทอร์เน็ตอย่างถูกต้องและเหมาะสม อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่เกิดขึ้นกับกลุ่มผู้ปกครองก็คือ ความแตกต่างระหว่างความรู้ความเข้าใจเทคโนโลยีระหว่างเด็กและผู้ปกครอง ซึ่งจัดว่าเป็น Digital Divide อีกประเภทหนึ่งที่ต้องพิจารณาและทำให้ผู้ปกครองต้องหันมากระตุ้นเตือนตนเองให้เร่งหันมาศึกษาและทำความเข้าใจในเรื่องเทคโนโลยีให้มากขึ้น โดยเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับภาวะความเสี่ยงจากภัยอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับเยาวชนหรือลูกหลาน ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้รวบรวมแนวทางในการป้องกันปัญหาในการใช้งานอินเทอร์เน็ตให้กับกลุ่มผู้ปกครองและกลุ่มมเยาวชน ดังนี้ ในส่วนของผู้ปกครองทำได้คือ
1. ไม่ควรปล่อยให้เยาวชนหรือบุตรหลานเล่นอินเทอร์เน็ตตามลำพัง
2. กระตุ้นให้เด็กเล่าเรื่องที่เกี่ยวกับสิ่งที่พบเห็นในอินเทอร์เน็ตให้กับผู้ปกครองได้รับทราบ และให้ร้องขอความช่วยเหลือหรือขอคำปรึกษาเมื่อพบกับปัญหา
3. ทำความเข้าใจกับเด็กเกี่ยวกับการใช้อินเทอร์เน็ต เพื่อป้องกันเด็กจากเว็บไซต์ที่ไม่เหมาะสม
4. แนะนำเด็กในการใช้อีเมล์ และให้ตรวจสอบหรือสอบถามเกี่ยวกับการส่งอีเมล์ที่ส่งมาให้เด็กอยู่เสมอ
5. ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการใช้แชตรูม หรือห้องสนทนาเกี่ยวกับข้อมูลที่เด็กควรปกปิดไว้ ไม่ควรบอกให้คู่สนทนารู้ เช่น นามสกุล ที่อยู่ หรือรหัสผ่านที่เป็นความลับกับผู้ที่ไม่เคยรู้จัก หรือเริ่มรู้จักกันทางอินเทอร์เน็ต
6. ควรวางคอมพิวเตอร์ที่เด็กใช้ไว้ในที่เปิดเผย เช่น ห้องนั่งเล่น มากกว่าที่จะวางไว้ในห้องนอน หรือห้องส่วนตัว กลุ่มเยาวชน
7. ไม่บอกข้อมูลส่วนตัว เช่น ชื่อ นามสกุล ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ ชื่อโรงเรียน ที่ทำงาน หรือเบอร์ที่ทำงาน ของผู้ปกครองให้แก่บุคคลอื่น ที่รู้จักทางอินเทอร์เน็ต
8. แจ้งให้ผู้ปกครองทราบโดยทันทีที่พบข้อมูล หรือรูปภาพใด ๆ บนอินเทอร์เน็ตที่หยาบคายไม่เหมาะสม
9. ไม่ไปพบบุคลใดก็ตามที่รู้จักทางอินเทอร์เน็ตโดยไม่ขออนุญาตจากผู้ปกครองก่อน
10. ไม่ส่งรูปหรือสิ่งของใด ๆ ให้แก่ผู้อื่นที่รู้จักทางอินเทอร์เน็ต โดยมิได้ขออนุญาติจากผู้ปกครองก่อน

คอมพิวเตอร์ยุคปัจจุบัน

ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ (supercomputer)
ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ ถือได้ว่าเป็นคอมพิวเตอร์ที่มีความเร็วมาก และมีประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อเปรียบเทียบกับคอมพิวเตอร์ชนิดอื่น ๆ เครื่องซูเปอร์คอมพิวเตอร์มีราคาแพงมาก มีขนาดใหญ่ สามารถคำนวณทางคณิตศาสตร์ได้หลายแสนล้านครั้งต่อวินาที และได้รับการออกแบบ เพื่อให้ใช้แก้ปัญหาขนาดใหญ่มากทางวิทยาศาสตร์และทางวิศวกรรมศาสตร์ได้อย่างรวดเร็ว เช่น การพยากรณ์อากาศล่วงหน้าเป็นเวลาหลายวัน การศึกษาผลกระทบของมลพิษกับสภาวะแวดล้อมซึ่งหากใช้คอมพิวเตอร์ชนิดอื่นๆ แก้ไขปัญหาประเภทนี้ อาจจะต้องใช้เวลาในการคำนวณหลายปีกว่าจะเสร็จสิ้น ในขณะที่ซูเปอร์คอมพิวเตอร์สามารถแก้ไขปัญหาได้ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น เนื่องจากการแก้ปัญหาใหญ่ ๆ จะต้องใช้หน่วยความจำสูง ดังนั้น ซูเปอร์คอมพิวเตอร์จึงมีหน่วยความจำที่ใหญ่มาก ซูเปอร์คอมพิวเตอร์มีหลายประเภท ตั้งแต่รุ่นที่มีหน่วยประมวลผล (processing unit) 1 หน่วย จนถึงรุ่นที่มีหน่วยประมวลผลหลายหมื่นหน่วยซึ่งสามารถทำงานหลายอย่างได้พร้อม ๆ กัน

 เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ (mainframe computer)

เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ มีสมรรถภาพที่ต่ำกว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์มาก แต่ยังมีความเร็วสูง และมีประสิทธิภาพสูงกว่ามินิคอมพิวเตอร์หรือไมโครคอมพิวเตอร์ เมนเฟรมคอมพิวเตอร์สามารถให้บริการผู้ใช้จำนวนหลายร้อยคนพร้อม ๆ กัน ฉะนั้น จึงสามารถใช้โปรแกรมจำนวนนับร้อยแบบในเวลาเดียวกันได้ โดยเฉพาะถ้าต่อเครื่องเข้าเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ผู้ใช้สามารถใช้ได้จากทั่วโลก ปัจจุบัน องค์กรใหญ่ๆ เช่น ธนาคาร จะใช้คอมพิวเตอร์ประเภทนี้ในการทำบัญชีลูกค้า หรือการให้บริการจากเครื่องฝากและถอนเงินแบบอัตโนมัติ (automatic teller machine) เนื่องจากเครื่องเมนเฟรมคอมพิวเตอร์ได้ถูกใช้งานมากในการบริการผู้ใช้พร้อม ๆ กัน เมนเฟรมคอมพิวเตอร์จึงต้องมีหน่วยความจำที่ใหญ่มาก

 มินิคอมพิวเตอร์ (minicomputer)

มินิคอมพิวเตอร์ คือ เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก ๆ ซึ่งสามารถบริการผู้ใช้งานได้หลานคนพร้อม ๆ กัน แต่จะไม่มีสมรรถภาพเพียงพอที่จะบริการผู้ใช้ในจำนวนที่เทียบเท่าเมนเฟรมคอมพิวเตอร์ได้ จึงทำให้มินิคอมพิวเตอร์เหมาะสำหรับองค์กรขนาดกลาง หรือสำหรับแผนกหนึ่งหรือสาขาหนึ่งขององค์กรขนาดใหญ่เท่านั้น

ไมโครคอมพิวเตอร์ (microcomputer) หรือ พีซี (personal computer หรือ PC )

ไมโครคอมพิวเตอร์ คือ คอมพิวเตอร์ขนาดเล็กแบบขนาดตั้งโต๊ะ (desktop computer) หรือขนาดเล็กกว่านั้น อาทิเช่น ขนาดสมุดบันทึก (notebook computer) และขนาดฝ่ามือ (palmtop computer) ไมโครคอมพิวเตอร์ได้เริ่มมีขึ้นในปีพ.ศ. 2518 ถึงแม้ว่าในระยะหลัง เครื่องชนิดนี้จะมีประสิทธิภาพที่สูง แต่เนื่องจากมีราคาไม่แพงและมีขนาดกระทัดรัด ไมโครคอมพิวเตอร์จึงยังเหมาะสำหรับใช้ส่วนตัว ไมโครคอมพิวเตอร์ได้ถูกออกแบบสำหรับใช้ที่บ้าน โรงเรียน และสำนักงานสำหรับที่บ้าน เราสามารถใช้ไมโครคอมพิวเตอร์ในการทำงบประมาณรายรับรายจ่ายของครอบครัวช่วยทำการบ้านของลูกๆ การค้นคว้าข้อมูลและข่าวสาร การสื่อสารแบบอิเล็กทรอนิกส์ (electronic mail หรือ E - mail) หรือโทรศัพท์ทางอินเทอร์เน็ต (internet phone) ในการติดต่อทั้งในและนอกประเทศ หรือแม้กระทั่งทางบันเทิง เช่น การเล่นเกมบนเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ สำหรับที่โรงเรียน เราสามารถใช้ไมโครคอมพิวเตอร์ในการช่วยสอนนักเรียนในการค้นคว้าข้อมูลจากทั่วโลกสำหรับที่สำนักงาน เราสามารถใช้ไมโครคอมพิวเตอร์ในการช่วยพิมพ์จดหมายและข้อมูลอื่นๆ เก็บและค้นข้อมูล วิเคราะห์และทำนายยอดซื้อขายล่วงหน้า

ประโยชน์ของคอมพิวเตอร์

คอมพิวเตอร์มีประโยชน์กับเรามากมาย เช่น
1. การใช้งานภาครัฐ งานทะเบียนราษฎร์ของรัฐบาล เช่น การแจ้งเกิด ตาย ย้ายที่อยู่ การทำบัตรประจำตัวประชาชน
2. การใช้งานทางด้านธุรกิจทั่วไป งานทำบัญชี รายการซื้อขาย งานเรียบเรียงเอกสาร งานประมวลคำ
3. งานสายการบิน การสำรองที่นั่งผู้โดยสาร การลดงานเอกสาร
4. ทางด้านการศึกษา สื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอน การเรียนออนไลน์ให้กับผู้เรียนที่อยู่ห่างไกล
5. ธุรกิจการนำเข้าสินค้าและส่งออก การทำธุรกิจแบบพานิชอิเล็กทรอนิกส์
6. ธุรกิจธนาคาร ธนาคารอิเล็กทรอนิกส์ การทำธุรกรรมผ่านโทรศัพท์มือถือ
7. วิทยาศาสตร์และการแพทย์ การเก็บข้อมูลเกี่ยวกับประวัติการรักษาของคนไข้ วิจัย คำนวณและการจำลองแบบ


ในปัจจุบัน คอมพิวเตอร์ได้ใช้วงจรเบ็ดเสร็จขนาดใหญ่มาก (very large scale integrated circuit) ซึ่งสามารถบรรจุทรานซิสเตอร์ได้มากกว่าสิบล้านตัว เราสามารถแบ่งคอมพิวเตอร์ในรุ่นปัจจุบันออกเป็น 4 ประเภท

คอมพิวเตอร์ทำงานอย่างไร


คอมพิวเตอร์ในยุคแรกๆเช่น ENIAC เวลาโปรแกรมต้องใช้วิธีการเปลี่ยนสายเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ ซึ่งเป็นวิธีการที่ยุ่งยากมาก จึงเกิดแนวคิดว่าตัวโปรแกรมน่าจะจัดเก็บอยู่ในส่วนที่สามารถปรับเปลี่ยนแก้ไขได้ง่าย เป็นที่มาของแนวคิดที่ทำการจัดเก็บข้อมูลต่างๆรวมถึงโปรแกรมไว้ใน หน่วยความจำ หรือ memory ทำให้คอมพิวเตอร์จะได้รับคำสั่งโดยการอ่านคำสั่งจากหน่วยความจำ และการปรับเปลี่ยนโปรแกรมสามารถทำได้โดยการเปลี่ยนแปลงค่าภายในหน่วยความจำ
แนวคิดข้างต้นรู้จักในชื่อว่า "Stored-Program Concept" หรือ อีกชื่อว่าสถาปัตยกรรม von Neumann โดยเข้าใจว่า J. Presper Eckert และ John William Mauchly ซึ่งเป็นนักออกแบบ ENIAC เป็นผู้คิดค้นขึ้น
แนวคิดการทำงานแบบ Stored-Program ถูกใช้เป็นแนวคิดหลักของการทำงานในคอมพิวเตอร์จนถึงปัจจุบัน โดยแนวคิดนี้จะแบ่งการทำงานของคอมพิวเตอร์เป็น 4 ส่วนหลักได้แก่
หน่วยประมวลผลในรูปแบบข้อมูล Binary หรือที่เรียกว่า Arithmetic-Logical Unit (ALU) เปรียบเสมือนหัวใจของคอมพิวเตอร์ หน้าที่หลักของมันคือทำการประมวลผลทางคณิตศาสตร์ขั้นพื้นฐานอันได้แก่การบวกและลบ และการทำการเปรียบเทียบข้อมูลสองข้อมูลว่ามีค่าเท่ากันหรือไม่ถ้าไม่จะมีค่ามากกว่าหรือน้อยกว่า
หน่วยความจำ หรือ Memory ใช้สำหรับเก็บข้อมูล (Data) และ คำสั่ง (Instructions) โดยข้อมูลภายในหน่วยความจำจะถูกแบ่งเป็นส่วนๆเล็กๆเท่าๆกัน แต่ละส่วนมีที่อยู่(address) เพื่อใช้เข้าถึงข้อมูลที่ถูกจัดเก็บเอาไว้
อุปกรณ์อินพุตและเอาต์พุต หรือ I/O Device เป็นส่วนที่ใช้นำข้อมูลจากโลกภายนอกเข้ามาภายในระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อนำมาประมวลผล และเมื่อได้ผลลัพธ์ก็จะนำข้อมูลที่ได้มาแสดงผลให้โลกภายนอกคอมพิวเตอร์ได้รับทราบ
หน่วยควบคุมการทำงาน หรือ Control Unit เป็นส่วนที่ใช้เชื่อมต่อแต่ละส่วนเข้าด้วยกัน หน้าที่หลักๆคือทำการอ่านข้อมูลคำสั่งที่อยู่ภายในหน่วยความจำหรือที่ได้จากอุปกรณ์อินพุต ทำการแปลความหมายและส่งไปประมวลผลใน ALU จากนั้นนำผลที่ได้ไปจัดเก็บในหน่วยความจำหรืออุปกรณ์เอาต์พุต หน้าที่หลักอีกประการ คือควบคุมลำดับการทำงานของแต่ละขั้นตอนให้อยู่ในเวลาที่เหมาะสม
 หน่วยประมวลผล
การทำงานของหน่วยประมวลผลกลาง หน่วยประมวลผล จะรับคำสั่งและข้อมูลจากหน่วยความจำ โดยส่งเข้าที่ Queue Prefetch Unit จะตรวจสอบว่า ค่าใน Queue เป็นคำสั่งหรือไม่ ถ้าเป็นคำสั่งจะสั่งให้ Bus Interface Unit(BIU) ส่งค่าของคำสั่งไปที่ Decode Unit ถ้าเป็นค่าที่อยู่(Address)ของหน่วยความจำ จะถูกส่งไปที่ Segment and Paging Unit Segment and Paging Unit จะแปลงที่อยู่ของหน่วยความจำ จากที่อยู่เสมือน(Virtual Address)ในรูปแบบของ segment : offset ให้กลายเป็นที่อยู่จริง(Physical Address)ที่ Bus Interface Unit เข้าใจ หน่วยถอดรหัส(Decode Unit) จะตรวจสอบและแยกแยะคำสั่ง แล้วแปลคำสั่ง และส่งสัญญาณควบคุมไปให้ Execution Unit ทำงานตามคำสั่งนั้นใน Execution Unit จะประกอบด้วย
Control Unit(CU)จะทำหน้าที่ควบคุมการทำงานภายในโปรเซสเซอร์เป็นตัวสั่งงาน Unit อื่นๆตามคำสั่งที่แปลจาก Decode Unit Protection Test Unit จะป้องกันและตรวจสอบการทำงานของส่วนต่างๆ ไม่ให้ทำผิดกฏเกณฑ์ จนเกิดข้อผิดพลาดขึ้น Register จะทำหน้าที่เก็บค่าชั่วคราวก่อนและหลังการประมวลเพื่อส่งให้ส่วนอื่นๆต่อไป เป็นเหมือนกระดาษทดชัว่คราว สำหรับ ALU Arithmetic Logic Unit(ALU) เป็นส่วนการคำนวณทางคณิตศาสตร์และหาค่าตรรกะของการเปรียบเทียบ
เมื่อ ALU คำนวณหรือเปรียบเทียบค่าเรียบร้อยแล้ว จะส่งไปเก็บไว้ที่ Register แล้ว Control Unit จะสั่งให้ BIU เก็บค่าผลลัพธ์ลงในหน่วยความจำ โดยแปลงที่อยู่เสมือนที่ Control Unit กำหนด ให้กลายเป็น ที่อยู่จริงของหน่วยความจำที่จะนำผลลัพธ์ไปเก็บไว้

 หน่วยความจำ
หน่วยความจำเป็นพื้นที่การทำงานและเป็นพื้นที่การจัดเก็บข้อมูลของคอมพิวเตอร์ เพราะคอมพิวเตอร์ไม่สามารถทำงานตามลำพังโดยอาศัยเพียงหน่วยประมวลผลหลักได้ หน่วยความจำแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่ หน่วยความจำชั่วคราว หรือ หน่วยความจำหลัก คือ แรม (RAM: Random Access Memory) โดยแรมจะเป็นหน่วยความจำที่ใช้ขณะคอมพิวเตอร์ทำงาน และจะหายไปเมื่อปิดเครื่อง อีกชนิดหนึ่งคือหน่วยความจำถาวร หรือหน่วยความจำสำรอง ได้แก่ ฮาร์ดดิสก์ (Hard Disk) ที่ใช้ในการเก็บข้อมูล และ รอม (ROM: Read Only Memory) ที่ใช้ในการเก็บค่าไบออส หน่วยความจำถาวรจะใช้ในการเก็บข้อมูลของเครื่องคอมพิวเตอร์และจะไม่สูญหายเมื่อปิดเครื่อง
ข้อแตกต่างของหน่วยความจำคือ หน่วยความจำแบบชั่วคราวจะมีความเร็วในการถ่ายข้อมูลสูง แต่ความจำน้อย เมื่อเกิดการทำงานของโปรแกรมมากๆ จึงต้องส่งผ่านข้อมูลลงหน่วยความจำถาวร ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของอาการแฮ็ง (hang)

ประวัติของคอมพิวเตอร์ โดยย่อ

ประวัติของคอมพิวเตอร์ โดยย่อ
ช่วงปี ค.ศ. 1930 ถึงช่วงปี ค.ศ. 1940 เป็นช่วงที่โลกได้มีคอมพิวเตอร์ที่สามารถโปรแกรมได้และคำนวณผลลัพธ์ได้มีประสิทธิภาพจริง แต่เป็นการยากที่จะตัดสินได้ว่าคอมพิวเตอร์เครื่องแรกของโลกENIAC (Electronics Numerical Integrator and Computer) เกิดขึ้นในปี1946 และประดิษฐ์โดยจอห์น ดับลิว มอชลีย์ (John W. Mauchly) และ เจ เพรสเพอร์ เอคเกิรต (J. Prespern Eckert) ทำงานโดยใช้หลอดสุญญากาศจำนวน 18,000 หลอด มีน้ำหนัก 30 ตัน ใช้เนื้อที่ห้อง 15,000 ตารางฟุต เวลาทำงานต้องใช้กำลังไฟถึง 140 กิโลวัตต์ คำนวณในระบบเลขฐานสิบ
ค.ศ. 1941 เป็นครั้งแรกที่โลกได้มีเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่สามารถตั้งโปรแกรมได้อย่างอิสระ ผู้พัฒนาคือ Konrad Zuse และชื่อคอมพิวเตอร์คือ Z1 Computer
ค.ศ. 1941 จอห์น อตานาซอฟฟ์ และ คลิฟฟอร์ด เบอร์รี ที่ มหาวิทยาลัยไอโอวาสเตต ได้ร่วมกันสร้าง คอมพิวเตอร์ อตานาซอฟฟ์-เบอร์รี ซึ่งสามารถประมวลผลเลขฐานสอง
ค.ศ. 1944 John Presper Eckert และ John W. Mauchly ได้ร่วมกันสร้างอีนิแอก ซึ่งใช้หลอดสูญญากาศจำนวน 20,000 หลอด เพื่อสร้างหน่วยประมวลผล และถือได้ว่าเป็นคอมพิวเตอร์เครื่องแรกสำหรับการใช้งานทั่วไป โดยมีการประมวลผลแบบทศนิยม โดยหากต้องการตั้งโปรแกรมจะต้องต่อสายเชื่อมต่อเครื่องอุปกรณ์ใหม่ทั้งหมด
ค.ศ. 1948 Frederic Williams และ Tom Kilburn สร้างคอมพิวเตอร์ที่ใช้ หลอดรังสีคาโทด เป็นหน่วยความจำ
ค.ศ. 1947 ถึง 1948 John Bardeen, Walter Brattain และ Wiliam Shockley สร้างคอมพิวเตอร์ที่ใช้ทราสซิสเตอร์ ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ที่สำคัญ
ค.ศ. 1951 John Presper Eckert และ John W. Mauchly ได้พัฒนา UNIVAC Computer ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่มีการขาย
ค.ศ. 1953 ไอบีเอ็ม (IBM) ออกจำหน่าย EDPM เป็นครั้งแรก และเป็นก้าวแรกของไอบีเอ็มในธุรกิจคอมพิวเตอร์
ค.ศ. 1954 John Backus และ IBM ร่วมกันสร้างภาษาคอมพิวเตอร์ชื่อ FORTRAN ซึ่งเป็นภาษาระดับสูง (high level programming language) ภาษาแรกในประวัติศาสตร์คอมพิวเตอร์
ค.ศ. 1955 (ใช้จริง ค.ศ. 1959) สถาบันวิจัยสแตนฟอร์ด, ธนาคารแห่งชาติอเมริกา, และ บริษัทเจเนอรัลอิเล็กทริก ร่วมกันสร้าง ERMA และ MICR ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์เครื่องแรกในธุรกิจธนาคาร
ค.ศ. 1958 Jack Kilby และ Robert Noyce เป็นผู้สร้าง Integrated Circuit หรือ ชิป(Chip) เป็นครั้งแรก
ค.ศ. 1962 สตีฟ รัสเซลล์ และ เอ็มไอที ได้พัฒนาเกมคอมพิวเตอร์เป็นครั้งแรกของโลกชื่อว่า "Spacewar"
ค.ศ. 1964 Douglas Engelbart เป็นผู้ประดิษฐ์เมาส์ และ ระบบปฏิบัติการแบบวินโดวส์
ค.ศ. 1969 เป็นปีที่กำเนิด ARPAnet ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของอินเทอร์เน็ต
ค.ศ. 1970 อินเทล] พัฒนาหน่วยความจำชั่วคราวของคอมพิวเตอร์หรือ RAM เป็นครั้งแรก
ค.ศ. 1971 Faggin, Hoff และ Mazor พัฒนาไมโครโปรเซสเซอร์ตัวแรกของโลกให้อินเทล (Intel)
ค.ศ. 1971 Alan Shugart และ IBM พัฒนา ฟลอปปี้ดิสก์ เป็นครั้งแรก
ค.ศ. 1973 Robert Metcalfe และ Xerox ได้พัฒนาระบบอีเทอร์เน็ต (Ethernet) สำหรับระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ค.ศ. 1974 ถึง ค.ศ. 1975 Scelbi และ Mark-8 Altair และ IBM ร่วมกันวางจำหน่ายคอมพิวเตอร์สำหรับผู้ใช้รายย่อยเป็นครั้งแรก
ค.ศ. 1976 ถึง ค.ศ. 1977 ถือกำเนิด Apple I, II และ TRS-80 และ Commodore Pet Computers ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลรุ่นแรกๆ ของโลก
ค.ศ. 1981 ไมโครซอฟท์ วางจำหนาย MS-DOS ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการที่ได้รับความนิยมที่สุดในช่วงนั้น
ค.ศ. 1983 บริษัทแอปเปิล ออกคอมพิวเตอร์รุ่น Apple Lisa ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์รุ่นแรกที่ใช้ระบบ GUI
ค.ศ. 1984 บริษัทแอปเปิล วางจำหน่ายคอมพิวเตอร์รุ่น แอปเปิล แมคอินทอช ซึ่งทำให้มีการใช้คอมพิวเตอร์อย่างกว้างขวาง
ค.ศ. 1985 ไมโครซอฟท์ วางจำหน่าย ไมโครซอฟท์ วินโดวส์ เป็นครั้งแรก

ความหมายของ คอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์คืออะไร?

ความหมายของ คอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์คืออะไร?
   คอมพิวเตอร์ (computer นิยมอ่านในภาษาไทยว่า คอม-พิ้ว-เต้อ) คือ เครื่องมือหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ที่มีความสามารถในการคำนวณอัตโนมัติตามคำสั่ง ส่วนที่ใช้ประมวลผลเรียกว่าหน่วยประมวลผล ชุดของคำสั่งที่ระบุขั้นตอนการคำนวณเรียกว่าโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ผลลัพธ์ที่ได้ออกมานั้นอาจเป็นได้ทั้ง ตัวเลข ข้อความ รูปภาพ เสียง หรืออยู่ในรูปอื่น ๆ อีกมากมาย
     ลักษณะทางกายภาพของคอมพิวเตอร์นั้นมีหลากหลาย มีทั้งขนาดที่ใหญ่มากจนต้องใช้ห้องทั้งห้องในการบรรจุ และขนาดเล็กจนวางได้บนฝ่ามือ การจัดแบ่งประเภทของคอมพิวเตอร์สามารถจัดแบ่งได้ตามขนาดทางกายภาพเป็นสำคัญ ซึ่งมักจะแปลผันกับประสิทธิภาพความเร็วในการประมวลผล โดยขนาดคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเรียกว่า ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ ใช้กับการคำนวณผลทางวิทยาศาสตร์ ขนาดรองลงมาเรียกว่า เมนเฟรม มักใชัในบริษัทขนาดใหญ่ที่ต้องมีการประมวลผลธุรกรรมทางธุรกิจจำนวนมากๆ สำหรับคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่ใช้ในระดับบุคคลเรียกว่า คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล และคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่พกพาได้เรียกว่า คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค ส่วนคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่สามารถวางบนฝ่ามือได้เรียกว่า พีดีเอ อย่างไรก็ตามคอมพิวเตอร์มีใช้กันอย่างกว้างขวางมาก ซึ่งมีอุปกรณ์หลายๆชนิดได้นำคอมพิวเตอร์ไปใช้เป็นกลไกหลักในการทำงาน เช่น กล้องดิจิทัล เครื่องเล่นเอ็มพีสาม หรือในรถยนต์เองก็มีคอมพิวเตอร์ที่ใช้ช่วยในการตรวจสอบระบบการทำงานของเครื่องยนต์
ประสิทธิภาพของคอมพิวเตอร์โดยรวมแล้ววัดกันที่ความเร็วการประมวลผล ซึ่งตามกฏของมัวร์ (Moore's Law) คอมพิวเตอร์จะเพิ่มประสิทธิภาพเป็นเท่าทวีคูณในทุกปี

แนะนำตัวกันก่อน

ชื่อ... นายขวัญชัย   ถานกระโทก

ชื่อเล่น นัท

อายุ 17 ปี เกิดวันที่ 16 สิงหาคม 1993

เรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/3

โรงเรียนอาเวมารีอา จังหวัดอุบลราชธานี

สิ่งที่ชอบ คือ สิ่งที่ไม่เกลียด

สิ่งที่เกียด คือ สิ่งที่ไม่ชอบ

ความสามารถพิเศษ .....ก็มีนะครับ

คติ...+_+